วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

มะพร้าว

มะพร้าว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Cocos nucifera   L. var. nucifera
ชื่อสามัญ :   Coconut
วงศ์ :   Palmae
ชื่ออื่น :  ดุง (จันทบุรี) เฮ็ดดุง (เพชรบูรณ์) โพล (กาญจนบุรี) คอส่า (แม่ฮ่องสอน) พร้าว (นครศรีธรรมราช) หมากอุ๋น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 20-30 เมตร ลำต้นกลม ตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้าน เปลือกต้นแข็ง สีเทา ขรุขระ มีรอยแผลใบ ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวียน รูปพัดจีบ กว้าง 3.5- ซม. ยาว 80-120 ซม. โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวแก่เป็นมัน โคนก้านใบใหญ่แผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ดอก ออกเป็นช่อแขนงตามซอกใบ ดอกเล็ก กลีบดอกที่ลดรูปมี 4-6 อัน ในช่อหนึ่งมีทั้งดอกเพศผู้และเพศเมีย ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกเพศเมียอยู่บริเวณโคนช่อดอก ไม่มีก้านดอก ผล รูปทรงกลมหรือรี ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียวพอแก่เป็นสีน้ำตาล เปลือกชั้นกลางเป็นเส้นใยนุ่ม ชั้นในแข็งเป็นกะลา ชั้นต่อไปเป็นเนื้อผลสีขาวนุ่ม ข้างในมีน้ำใส

ส่วนที่ใช้ :
    เปลือกผล - ผลแก่ปอกเปลือกตากแห้งเก็บไว้ใช้
    กะลา - ตากแห้ง หรือเผาเป็นถ่าน บดเป็นผงเก็บไว้ใช้ โดยเผากะลาให้ลุกโชน เอากะลามัง หรือกระทะเหล็กครอบไม่ให้อากาศเข้าได้ จนไฟดับหมดแล้วปล่อยไว้ให้เย็น เปิดภาชนะเหล็กที่ครอบไว้ออก จะได้ถ่านจากกะลามะพร้าว นำไปบดเป็นผง เก็บไว้ในขวดปิดสนิท เก็บไว้ใช้ และที่ก้นภาชนะเหล็กมีน้ำมันเหนียวสีน้ำตาล ขูดเก็บไว้ใช้ เป็นยาทาแก้กลากเกลื้อนได้ดี
   เนื้อมะพร้าว - เนื้อมะพร้าว (ติดกับกะลา) มีสีขาว ใช้สด หรือหั่นฝอย ใส่น้ำเคี่ยว เอาน้ำมันมะพร้าวเก็บไว้ใช้ หรือตากแห้ง บีบและเคี่ยวเอาน้ำมันเก็บไว้ใช้ น้ำมันใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอม น้ำมันมะพร้าวในที่อุ่นจะเหลวใส ในที่เย็นจะข้นขาวคล้ายเนยแข็ง มีกลิ่นเฉพาะตัว
    น้ำ - น้ำมะพร้าว อ่อน และน้ำมะพร้าวแก่ใช้สด
    ราก - ใช้สด เก็บได้ตลอดปี
    ดอก - ใช้สด
    เปลือกต้น - ใช้สด เก็บได้ตลอดปี
    สารสีน้ำตาล - ที่ออกมาย้อยแข็งอยู่ใต้ใบ เก็บไว้ใช้

สรรพคุณ :
    เปลือกผล  - รสฝาดขม สุขุม ใช้ห้ามเลือด แก้ปวด เลือดกำเดาออก โรคกระเพาะ และแก้อาเจียน
    กะลา - แก้ปวดเอ็น ปวดกระดูก
    ถ่านจากกะลา - รับประทานแก้ท้องเสีย และดูดสารพิษต่างๆ
    น้ำมันที่ได้จากการเผากะลา - ใช้ทา บาดแผล และโรคผิวหนัง แก้กลาก อุดฟัน แก้ปวดฟัน
    เนื้อมะพร้าว - รสชุ่ม สุขุม ไม่มีพิษ รับประทานบำรุงกำลัง ขับพยาธิ
    น้ำมันจากเนื้อมะพร้าว - ใช้ทาแก้กลาก และบาดแผลที่เกิดจากความเย็นจัด หรือถูกความร้อน และใช้ผสมทาแก้โรคผิวหนังต่างๆ นอกจากที่ยังใช้เป็นอาหาร ทาแก้ผิวหนัง แห้ง แตกเป็นขุย และชนิดที่บริสุทธิ์มากๆ ใช้เป็นตัวทำลายในยาฉีดได้
    น้ำมะพร้าว - รสชุ่ม หวานสุขุม ไม่มีพิษ แก้กระหาย ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แก้พิษ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสีย บวมน้ำ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ในยามจำเป็น น้ำมะพร้าวอ่อนอายุประมาณ 7 เดือน อาจใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดแก้ภาวะการเสียน้ำได้
    ราก - รสฝาด หวาน ใช้ขับปัสสาวะ และแก้ท้องเสีย ต้มน้ำอมแก้ปากเจ็บ
    เปลือกต้น - เผาเป็นเถ้า ใช้ทาแก้หิด และสีฟันแก้ปวดฟัน
    สารสีน้ำตาล - ไหลออกมาแข็งตัวที่ใต้ใบ ใช้ห้ามเลือดได้ดี

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          มะพร้าวเก็บในช่วงผลแก่ และนำมาเคี่ยวเป็นน้ำมัน ทาแก้ปวดเมื่อย และขัดตามเส้นเอ็น เจือกับยาที่มีรสฝาด รักษาบาดแผลได้
          ใช้น้ำมะพร้าว มาปรุงเป็นยารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมานาน วิธีใช้ทำได้โดย การนำเอาน้ำมันมะพร้าว 1 ส่วน ในภาชนะคนพร้อมๆ กับเติมน้ำปูนใส 1 ส่วน โดยเติมทีละส่วนพร้อมกับคนไปด้วย คนจนเข้ากันดี แล้วทาที่แผลบ่อยๆ

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_6.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะตูม

มะตูม

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Aegle marmelos  (L.) Correa ex Roxb.
ชื่อสามัญ :   Bael
วงศ์ :   Rutaceae
ชื่ออื่น :  มะปิน (ภาคเหนือ) กระทันตาเถร ตุ่มเต้ง ตูม (ปัตตานี) มะปีส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ต้น สูง 10 - 15 เมตร เปลือกต้นสีเทา แตกเป็นร่องตามยาว ใบ เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ใบย่อยใบปลาย รูปไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 5-14 ซม. ปลายใบแหลม แผ่นใบบางเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ก้านใบย่อยใบปลายจะยาวกว่าใบที่คู่กัน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกมี 4 กลีบ โคนติดกัน ปลายแยกเป็น 4 แฉก รูปไข่กลับยาว ด้านนอกสีเขียวอ่อน ด้านในสีขาวนวล มีน้ำเมือก มีกลิ่นหอม ผล รูปรีกลมหรือยาว ผิวเรียบเกลี้ยง เปลือกหนา แข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกเป็นสีเขียวอมเหลือง เนื้อในสีส้มปนเหลือง นิ่ม เมล็ดมีจำนวนมาก

ส่วนที่ใช้ :  ผลโตเต็มที่  ผลแก่จัด ผลสุก ผลอ่อน ใบ  ราก

สรรพคุณ :
    ผลโตเต็มที่ - ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแห้งคั่วให้เหลือง ชงรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ท้องร่วง โรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก
    ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก - น้ำมาเชื่อมรับประทานต่างขนมหวาน จะมีกลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บำรุงกำลัง รักษาธาตุ ขับลม
    ผลสุก - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจำธาตุของผู้สูงอายุ ที่ท้องผูกเป็นประจำ
    ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแต่งกลิ่น
    ราก - แก้หืด หอบ แก้ไอ แก้ไข้ ขับลม แก้มุตกิต

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ใช้ผลโตเต็มที่ ฝานตากแห้ง คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่ม ใช้ 2-3 ชิ้น ชงน้ำเดือดความแรง 1 ใน 10 ดื่มแทนน้ำชา หรือชงด้วยน้ำเดือด 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว

สารเคมี :
          ผลมะตูม  ประกอบด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกๆ คือ mucilage, pectin, tannin, volatile oil และสารที่มีรสขม
          ใบ  มี aegeline (steroidal alkaloid) aeglenine, coumarin

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_5.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

โด่ไม่รู้ล้ม

โด่ไม่รู้ล้ม
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Elephantopus  scaber  L.
ชื่อสามัญ :   Prickly-leaved elephant's foot
วงศ์ :   Asteraceae
ชื่ออื่น :  หนาดผา เคยโป้ หญ้าไก่นกคุ่ม หญ้าปราบ หญ้าสามสิบสองหาบ หญ้าไฟนกคุ้ม (ภาคเหนือ)  ตะชีโกวะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ขี้ไฟนกคุ่ม (เลย) คิงไฟนกคุ่ม (ชัยภูมิ) หนาดมีแคลน (สุราษฎร์ธานี)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงสั้นอยู่ในระดับพื้นผิวดิน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนกันแน่นที่โคนต้น รูปขอบขนาน กว้าง 2-6 ซม.ยาว 10-25 ซม. ปลายใบและโคนใบมน แผ่นใบมีขนสากมือ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ก้านใบสีขาวหนา ดอก ออกเป็นช่อแบบแขนงที่ปลายยอด มีใบประดับ 2 ใบ ดอกสีม่วง กลีบดอกเรียวยาว ปลายกลีบดอกแหลม โคนเชื่อมติดกัน ก้านช่อดอกเหนี่ยวเมื่อโดนเหยียบก้านช่อดอกจะตั้งขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม เกสรเพศผู้เป็นเส้นตรงมีอับเรณูสีม่วง ผล รูปทรงกลม มีสัน 10 สัน ผิวมีขนนุ่มปกคลุม
ส่วนที่ใช้ :  ทั้งต้นสด

สรรพคุณ :
          มีรสขื่น แก้ปัสสาวะ และบำรุงความกำหนัด มีรสกร่อย จืด ขื่นเล็กน้อย รับประทานทำให้เกิดกษัยแต่มีกำลัง ทั้งต้นต้มรับประทานต่างน้ำ แก้ไข้จับสั่นหรือไข้มาเลเรียดี ใช้ต้มรับประทานแก้ไอ สำหรับสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ บางตำรากล่าวว่า แก้กษัย บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ขับไส้เดือน แก้กามโรค แก้อักเสบ ห้ามเลือดกำเดา แก้ดีซ่าน นิ่ว บิด เหน็บชา ท้องมาน ฝีฝักบัว
ข้อห้ามใช้ :
          ห้ามใช้ในผู้หญิงท้อง และผู้ที่อาการกลัวหนาว แขนขาเย็น ไม่กระหายน้ำ ชอบดื่มของร้อน ปวดท้อง ท้องร่วง ปัสสาวะและปริมาณมาก มีชั้นฝ้าบนลิ้นขาวและหนา

ตำราและวิธีใช้  (ดูรายละเอียด)


อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_4.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

จันทน์ลูกหอม

จันทน์ลูกหอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Diospyros decandra  Lour.
วงศ์ :   Ebenaceae
ชื่ออื่น :  จันอิน จันโอ จันขาว จันลูกหอม อิน (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 10-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลแข้มอมเทา กิ่งอ่อนยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม กิ่งก้านเหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี กว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 7-10 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นมันลื่น สีเขียวเข้ม ดอก ดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ ส่วนดอกเพศเมียออกดอกเดี่ยว ดอกสีขาวนวล กลีบดอกเชื่อมติดกันสั้นๆ ผล รูปกลมแป้นเรียกว่า ลูกจัน ไม่มีเมล็ด ผลกลม เรียกว่า อิน มีเมล็ด ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลือง มีกลิ่นหอม รับประทานได้ ที่ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงติดทน
ส่วนที่ใช้ :  เนื้อไม้  ผล

สรรพคุณ :
    เนื้อไม้  -  มีรสขม หวาน ทำให้เกิดปัญญา บำรุงประสาท บำรุงเนื้อหนังให้สดชื่น แก้ไข้ แก้ปอดตับพิการ แก้ดีพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เหงื่อตกหน้า ขับพยาธิ
    ผล - ผลสุกสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม มีรสหวานและฝาดเล็กน้อย รับประทานกับน้ำกะทิสดเป็นอาหาร







อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_3.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

จันทน์เกศ

จันทน์เกศ
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Myristica fragrans  Houtt.
ชื่อสามัญ :   Nutmeg tree
วงศ์ :   Myristicaceae
ชื่ออื่น :  จันทน์บ้าน (เงี้ยว-ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 5-18 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีเทาอมดำ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี กว้าง 4-5 ซม. ยาว 10-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ เป็นมัน ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ออกเป็นช่อตามซอกใบ สีเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโท ปลายแยกออกเป็น 3 แฉก ไม่มีกลีบดอก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม ผิวเรียบ สีเหลืองนวล พอแก่แตกอ้าออกเป็น 2 ซีก เห็นรก หุ้มเมล็ดสีแดง เมล็ดสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ :  ผล  ดอก  แก่น  ราก และเมล็ด

สรรพคุณ :
    ผล - ให้ Myristica Oil ซึ่งเป็น Volatile Oil ประกอบด้วย Myristiein และ Safrole ซึ่งเป็นตัวแต่งกลิ่น และขับลม
    ดอก - ใช้เป็นเครื่องเทศ และขับลม
    แก่น - แก้ไข้ บำรุงตับ ปอด
    ราก - ขับลม แต่งกลิ่น เครื่องเทศ เจริญอาหาร
    เมล็ด - ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ เป็นเครื่องเทศ เจริญอาหาร

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          รกและเมล็ดขนาด 0.5 กรัม หรือประมาณ 1-2 เมล็ด หรือใช้รก 4 อัน ป่นรก หรือเมล็ดให้เป็นผงละเอียด ชงน้ำครั้งเดียว รับประทานวันละ 2 ครั้ง 2-3 วัน

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_2.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

กันเกรา

กันเกรา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Fagraea fragrans  Roxb.
วงศ์ :   Gentianaceae
ชื่ออื่น :  มันปลา (ภาคเหนือ,อีสาน) ตำเสา ทำเสา (ภาคใต้) ตะมะซู ตำมูซู (มลายู-ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 10-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล พอต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน หนาแน่นที่ปลายกิ่ง รูปรี กว้าง 4+6 ซม. ยาว 8-12 ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ พอเริ่มบานเป็นสีขาว เมื่อบานเต็มที่เป็นสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกเป็น 5 แฉก ปลายแฉกแหลม เกสรเพศผู้ยาวติดกับกลีบดอก เกสรเพศเมียยาวมี 1 อัน ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว พอสุกเป็นสีแดง เมล็ดเล็ก สีน้ำตาลไหม้

ส่วนที่ใช้ :  แก่น

สรรพคุณ :
          แก่น  - รสมัน เฝื่อน ฝาดขม บำรุงไขมันในร่างกาย บำรุงธาตุ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ไข้จับสั่น แก้หืดไอ ริดสีดวง ท้องมานลงท้อง มูกเลือด แน่นหน้าอก บำรุงม้าม แก้เลือดพิการ ขับลม

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10_1.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

กฤษณา

กฤษณา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Aquilaria crassna  Pierre ex Lecomte
ชื่อสามัญ :   Eagle wood
วงศ์ :   Thymelaeaceae
ชื่ออื่น :  ไม้หอม (ภาคตะวันออก)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 18-30 เมตร เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องยาวตื้นๆ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี กว้าง 3-5 ซม. ยาว 6-11 ซม. โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา เรียบเกลี้ยง สีเขียว มีขนประปรายตามเส้นใบด้านล่าง ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 0.2-0.7 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกสีเขียวอมเหลือง กลีบเลี้ยงโคนติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกเป็น 5 แฉก ติดทน กลีบดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้มี 10 อัน ผล รูปกลมรี มีเส้นแคบตามยาวของผล ผิวขรุขระเป็นลายสีเขียว มีขนละเอียดสั้นคล้ายกำมะหยี่ พอแก่แตกอ้าออก เมล็ดกลมรี สีน้ำตาลเข้ม มี 1-2 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ :  เนื้อไม้  แก่น  และชัน

สรรพคุณ :
    เนื้อไม้
    - รสขม หอม เป็นยาบำรุงหัวใจ (คือมีอาการหน้าเขียวตาเขียว)
    - ช่วยตับ ปอด ให้เป็นปกติ แพทย์ตามชนบทใช้ปรุงเป็นยาหอมแก้ลมหน้ามืดวิงเวียน ผสมเครื่องหอมทุกชนิด ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอม เช่น ธูปหอม น้ำอบไทย
    - สุมศีรษะ แก้ลมทรางสำหรับเด็ก รับประทานให้ชุ่มชื่นหัวใจ กฤษณาชนิด Aquilaria agallocha ใช้เนื้อไม้เป็นยารักษาโรคปวดข้อ
    น้ำมันจากเมล็ด
    - รักษาโรคเรื้อน และโรคผิวหนังได้

วิธีใช้ :
          เข้ายาหอมบำรุงหัวใจ รวมกับสมุนไพรอื่นๆ เช่น เกษรทั้ง 5 และอื่นๆ

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_10.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

สะเดาอินเดีย

สะเดาอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Azadirachta indica A. Juss. var. indica
ชื่อสามัญ :   Neem
วงศ์ :   Meliaceae
ชื่ออื่น :  ควินิน (ทั่วไป)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 8-12 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ รูปรี โคนใบเบี้ยว ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบมน โคนเรียว ผล เป็นผลสด รูปกลมรี ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว สุกสีเหลือง เมล็ดเดี่ยว
ส่วนที่ใช้ : เปลือก ต้น ใบสด

สรรพคุณ :
          เป็นยาแก้ไข้มาเลเรีย หรือไข้จับสั่น ไข้ประจำฤดูได้ดี

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ใช้เปลือกสด 1 ฝ่ามือ หรือใบสด 2 กำมือ ต้มกับน้ำ 4 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น จนกว่าจะหายไข้
อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_16.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

สะเดา (สะเดาไทย)

สะเดา (สะเดาไทย)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis  Valeton
ชื่อสามัญ : Siamese neem tree, Nim , Margosa, Quinine
วงศ์ :   Meliaceae
ชื่ออื่น :  สะเลียม (ภาคเหนือ)  กะเดา (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 5-10 เมตร เปลือกต้นแตกเป็นร่องลึกตามยาว ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับรูปใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวล กลีบเลี้ยงมี 5 แฉก โคนติดกัน กลีบดอกโคนติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผล รูปทรงรี ขนาด 0.8 - 1 ซม. ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว สุกเป็นสีเหลืองส้ม เมล็ดเดี่ยว รูปรี
ส่วนที่ใช้ : ดอกช่อดอก  ขนอ่อน ยอด เปลือก ก้านใบ กระพี้ ยาง แก่น ราก ใบ ผล ต้น เปลือกราก น้ำมันจากเมล็ด

สรรพคุณ :
    ดอก ยอดอ่อน  -  แก้พิษโลหิต กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหารผักได้ดี
    ขนอ่อน - ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
    เปลือกต้น - แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิดมูกเลือด
    ก้านใบ - แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย
    กระพี้ - แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
    ยาง - ดับพิษร้อน
    แก่น - แก้อาเจียน ขับเสมหะ
    ราก - แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซึ่งเกาะแน่นอยู่ในทรวงอก
    ใบ,ผล - ใช้เป็นยาฆ่าแมลง บำรุงธาตุ
    ผล มีสารรสขม - ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ
    เปลือกราก - เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง
    น้ำมันจากเมล็ด - ใช้รักษาโรคผิวหนัง และยาฆ่าแมลง

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    เป็นยาขมเจริญอาหาร
    ช่อดอกไม่จำกัด ลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก หรือใช้เปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/2 ถ้วยแก้ว
    ใช้เป็นยาฆ่าแมลง
    สะเดาให้สารสกัดชื่อ Azadirachin ใช้ฆ่าแมลงโดยสูตร สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม  ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม นำแต่ละอย่างมาบดหรือตำให้ละเอียด หมักกับน้ำ 20 ลิตร 1 คืน น้ำน้ำยาที่กรองได้มา 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้ฉีดฆ่าแมลงในสวนผลไม้ และสวนผักได้ดี โดยไม่มีพิษและอันตราย

สารเคมี :
          ผล   มีสารขมชื่อ bakayanin
          ช่อดอก  มีสารพวกไกลโคไซด์ ชื่อ nimbasterin 0.005% และน้ำมันหอมระเหยที่มีรสเผ็ดจัดอยู่ 0.5%  นอกนั้นพบ  nimbecetin, nimbesterol, กรดไขมัน และสารที่มีรสขม
          เมล็ด  มีน้ำมันขมชื่อ margosic acid 45% หรือบางที่เรียก Nim Oil และสารขมชื่อ nimbin, nimbidin
          Nim Oil  มี nimbidin  เป็นส่วนมากและเป็นตัวออกฤทธิ์มีกำมะถันอยู่ด้วย

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_15.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ลูกใต้ใบ

ลูกใต้ใบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   phyllanthus amarus  Schum & Thonn.
ชื่อสามัญ :   Egg Woman
วงศ์ :   Euphorbiaceae
ชื่ออื่น :  มะขามป้อมดิน  หญ้าใต้ใบ  หญ้าใต้ใบขาว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 10 - 60 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมนกว้างโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.40 X 1.00 เซนติเมตร ก้านใบสั้นมากและมีหูใบสีขาวนวลรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติด 2 อัน ดอกแยกเพศ เพศเมียมักอยู่ส่วนโคน เพศผู้มักอยู่ส่วนปลายก้านใบ ดอกขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.08 เซนติเมตร ผลทรงกลมผิวเรียบสีเขียวอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 เซนติเมตร เกาะติดอยู่ที่ใต้โคนใบย่อย เมื่อแก่จะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปเสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.10 เซนติเมตร
ส่วนที่ใช้ :  ทั้งต้นสด

สรรพคุณ :
         เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน ขับปัสสาวะ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
           นำต้นสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ½ ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว

สารเคมี :  Potassium, phyllanthin, hypophyllanthin

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_12.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ย่านาง

ย่านาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tiliacora triandra  (Colebr.) Diels
ชื่อสามัญ :   Bamboo grass
วงศ์ :   Menispermaceae
ชื่ออื่น :  จ้อยนาง (เชียงใหม่)  เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว (กลาง) ยาดนาง (สุราษฎร์ธานี)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลื้อยพัน กิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5 - 10 ซม. กว้าง 2 - 4 ซม. ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นช่องยาว 2 - 5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3 - 5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้นไม่มีกลีบดอก ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ

ส่วนที่ใช้ :  รากแห้ง

สรรพคุณ :
    รากแห้ง -  แก้ไข้ทุกชนิด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ (15 กรัม) ต้มกับน้ำ ดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง

สารเคมี :
          รากมี isoquinolone alkaloid ได้แก่ tilacorine, tiacorinine, nortiliacorinine A, tiliacotinine 2 - N - Oxide, และ tiliandrine, tetraandrine, D - isochondrodendrine (isoberberine)

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_13.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะปราง

มะปราง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Bouea macrophylla  Griffith
ชื่อสามัญ :   Marian Plum , Plum Mango
วงศ์ :   Anacardiaceae
ชื่ออื่น :  ปราง (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น มีทรงต้นค่อนข้างแหลม มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบต้นโต มีขนาดสูง 15-30 เซนติเมตร มีรากแก้วแข็งแรง ใบ มะปรางเป็นไม้ผลที่มีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลี่ยกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปีหนึ่งมะปรางจะแตกใบอ่อน 1-3 ครั้ง ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นช่อ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ดอกบานจะมีสีเหลือง ในไทยออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ผล มีลักษณะทรงกลมรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนึ่งมีผล 1-15 ผล ผลดิบมีสีเขียวอ่อน-เขียวเข้มตามอายุของผล ผลสุกมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เปลือกผลนิ่ม เนื้อสีเหลืองแดงส้มออกแดงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ รสชาติหวาน-อมหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยว-เปรี้ยวจัด เมล็ด มะปรางผลหนึ่งจะมี 1 เมล็ด ส่วนผิวของกะลาเมล็ดมีลักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพูอมม่วง รสขมฝาดและขม ลักษณะเมล็ดคล้ายเมล็ดมะม่วง หนึ่งเมล็ดเพาะกล้าได้ 1 ต้น
ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ น้ำจากต้น

สรรพคุณ :
    ราก -  แก้ไข้กลับ  ถอนพิษสำแดง
    ใบ - ยาพอกแก้ปวดศีรษะ
    น้ำจากต้น - ยาอมกลั้วคอ

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_12.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

พิมเสนต้น

พิมเสนต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Pogostemon cablin (Blanco) Benth.
ชื่อพ้อง :  P. patchouli  Pellet var. suavis  Hook f.
ชื่อสามัญ :   Patchouli
วงศ์ :   Labiatae

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ล้มลุก สูง 30-75 ซม. ทุกส่วนมีกลิ่นหอม ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 7-10 ซม. ขอบใบหยักมน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวประม่วง ผลแห้ง ไม่แตก

ส่วนที่ใช้ : ใบ

สรรพคุณ :
    ใบ - ปรุงเป็นยาเย็น ถอนพิษร้อน แก้ไข้ทุกชนิด ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง โดยมากมักปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ และยาหอมก็เข้าใบพิมเสนต้นนี้

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_10.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ฝ้ายแดง

ฝ้ายแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Gossypium arboreum  L.
ชื่อสามัญ :   Ceylon Cotton , Chinese Cotton , Tree Cotton
วงศ์ :   Malvaceae

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 2.5-3.5 เมตร ลำต้นสีน้ำตาลแดง ใบ ใบเดี่ยวออกเวียนสลับ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม กว้าง 4-5 เซนติเมตร ยาว 5-7 เซนติเมตร ขอบหยักลึก 3-7 แฉก ปลายแหลมหรือมน โคนเว้า ก้านใบและเส้นใบสีแดงคล้ำ ดอก สีแดงเข้ม หรือ สีเหลืองอ่อน กลางดอกสีม่วงแดง ออกเดี่ยวตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบประดับ 3 ใบ รูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอก ๕ กลีบ เกสรตัวผู้จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมกันเป็นหลอดล้อมรอบเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียแยกเป็น 5 แฉก ผล กลม หัวท้ายแหลม เมื่อแก่แตกได้ เมล็ดค่อนข้าง กลมสีเขียว จำนวนมากคลุมด้วยขนยาวสีขาว
ส่วนที่ใช้ : เปลือกราก  ใบ

สรรพคุณ :
    เปลือกราก - บดเป็นผง ชงน้ำเดือดดื่มช่วยขับปัสสาวะ บีบมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา
    ใบ  -   ปรุงเป็นยารับประทานแก้ไข้ ขับเหงื่อ จำพวกยาเขียว และเป็นยาเด็ก แก้พิษตานทรางของเด็กได้ดี

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_9.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ปลาไหลเผือก

ปลาไหลเผือก
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Eurycoma longifolia  Jack
วงศ์ :   Simaroubaceae
ชื่ออื่น :  คะนาง ขะนาง ไหลเผือก (ตราด) ตุงสอ แฮพันชั้น (ภาคเหนือ) หยิกปอถอง หยิกไม่ถึง เอียนดอย (ภาคอีสาน) เพียก (ภาคใต้) กรุงบาดาล (สุราษฎร์ธานี) ตรึงบาดาล (ปัตตานี) ตุวุเบ๊าะมิง ดูวุวอมิง (มลายู-นราธิวาส)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มกึ่งไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร ลำต้นตรง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลอมดำ แตกกิ่งก้านน้อย กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนปกคลุม ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู่ ออกเรียงสลับหนาแน่นที่ปลายยอด ใบย่อยมี 7-8 คู่ รูปใบหอกหรือรูปรี กว้าง 1.5-6.5 ซม. ยาว 5-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวเข้ม ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ตามซอกใบ ดอกสีม่วงแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.1 ซม. กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5-6 แฉก กลีบดอกเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5-6 กลีบ รูปไข่มีขน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ก้านช่อดอกสีแดง ผล รูปกลมรี กว้าง 0.5-1.2 ซม. ยาว 1-1.7 ซม. ออกเป็นพวง ผิวเรียบ ผลสดสีเขียว สุกเป็นสีแดง เมล็ดเดี่ยว
ส่วนที่ใช้ :  รากปลาไหลเผือก

สรรพคุณ :
          รากปลาไหลเผือก - รสขมจัด เบื่อเมาเล็กน้อย ถ่ายฝีในท้อง ถ่ายพิษต่างๆ ใช้เป็นยาแก้ไข้ ตัดไข้ทุกชนิด ใช้ผสมยาจันทลิ้นลา* ใช้เป็นยาตัดไข้ ใช้รับประทานแก้วัณโรคในระยะบวมขึ้น
* ยาจันทลิ้นลา เป็นยาตำรับโบราณ ใช้รักษไข้ แก้อาการชัก

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_8.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ประยงค์

ประยงค์
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Aglaia odorata  Lour
วงศ์ :   Meliaceae
ชื่ออื่น :  ขะยง ขะยม พะยงค์ ยม (ภาคเหนือ) ประยงค์ใบใหญ่ (ภาคกลาง) หอมไกล (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มกึ่งไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-3 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น เปลือกต้นเรียบ สีเทา ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก  ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายใบมน โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ก้านใบแผ่ออกเป็นปีก ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกสีเหลือง กลีบดอกมี 6 กลีบ ซ้อนกันเป็นรูปทรงกลมไม่บาน ผล รูปทรงกลมรี ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเหลืองอ่อน ผลสุกสีแดง เมล็ดเดี่ยว สีน้ำตาล
ส่วนที่ใช้ :  ดอก  ก้าน และใบ

สรรพคุณ :
    ดอก
    - ช่วยเร่งการคลอด แก้อาการเมาค้าง ฟอกปอด ทำให้หูตาสว่าง แก้ร้อนดับกระหาย อึดอัดแน่นหน้าอก ไอ วิงเวียนศีรษะ ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง
    ก้านและใบ
    - แก้แผลบวมฟกช้ำ จากการหกล้ม หรือถูกระทบกระแทก ฝีมีหนองทั้งหลาย

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ดอก หรือก้านและใบ แห้ง 3-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก เคี่ยวให้ข้น ใช้ทาแผลบวมฟกช้ำ

ข้อห้ามใช้ - หญิงมีครรภ์ห้ามดื่ม
สารเคมีที่พบ:
          ใบ มี Aglaiol, Aglaiondiol, (24 S) - Aglaitriol  (24 R) - Aglaitriol, อัลคาลอยด์ Odoratine และ Odoratinol
การเก็บมาใช้
          ช่อดอกและใบ  เก็บในฤดูร้อน ตอนออกดอก ตากแห้งแยกเก็บไว้ใช้
หมายเหตุ :
          เป็นไม้ที่เหมาะที่จะปลูกเป็นรั้ว ดอกมีกลิ่นหอม แต่โตชา
    ดอกแห้ง
     -  ใช้อบเสื้อผ้า บุหรี่ และแต่งกลิ่นใบชา
    รากและใบ    - ในฟิลิปปินส์ ใช้ต้มเป็นยาบำรุงร่างกาย
    - แก้โรคเกี่ยวกับทรวงอก แก้ไข้และอาการชัก
    ยาชงจากดอก
     - ใช้ดื่มแบบน้ำชา เป็นยาเย็น แก้ไข้ พุพอง
    ราก
     - ในไทยใช้เป็นยาทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_7.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ประคำดีควาย

ประคำดีควาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Sapindus emarginatus  Wall.
ชื่อสามัญ :   Soap Nut Tree
วงศ์ :   Sapindaceae
ชื่ออื่น :  มะคำดีควาย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 10-30 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นร่องลึกตามแนวยาว ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2-4 ใบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5-7 ซม. ยาว 10-14 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอก ดอกแยกเพศ อยู่ต้นเดียวกัน ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวนวล กลีบดอกมี 5 กลีบ ก้านช่อดอกมีขนปกคลุม ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบ หรือมีรอยย่นที่ผลบ้าง ผลสดสีเขียว เมล็ดเดี่ยว
ส่วนที่ใช้ : ผลแก่ และตากแดดจนแห้ง   ใบ  ราก  ต้น  เปลือก  ดอก  เมล็ด

สรรพคุณ :
    ผลแก่ 
      - แก้ไข้ ดับพิษร้อนภายใน ดับพิษทุกอย่าง แก้ไข้แก้เลือด แก้หอบเนื่องจากปอดชื้น ปอดบวม แก้กาฬ แก้โรคผิวหนัง แก้พิษตานซาง แก้เสลดสุมฝีอันเปื่อยพัง แก้จุดกาฬ ผลผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ รักษาโรคตัวร้อนนอนไม่หลับ นอนสะดุ้งผวา แก้สลบ แก้พิษ หัด สุกใส แก้ฝีเกลื่อน แก้ปากเปื่อย แก้สารพัดพิษ สรพัดกาฬ แก้ไข้จับเซื่องซึม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สารพัดไข้ทั้งปวง
    ใบ
     - แก้พิษกาฬ ดับพิษกาฬ
    ราก
    - แก้ริดสีดวงมองคร่อ แก้หืด
    - รากผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้แก้ฝีในท้อง
    ต้น
    - แก้ลมคลื่นเหียน
    เปลือกต้น
    - แก้กระษัย แก้พิษร้อน แก้พิษไข้
    - เปลือกต้นผสมในตำรับยากับสมุนไพรอื่นใช้แก้ฝีหัวคว่ำ ฝีอักเสบ
    ดอก
    - แก้พิษ เม็ดผื่นคัน
    เมล็ด
    - แก้โรคผิวหนัง

วิธีใช้และปริมาณ :
          ผลประคำดีควาย สุมให้เป็นถ่าน แล้วปรุงเป็นยารบประทาน
          ผลประคำดีควาย ใช้รักษาชันนะตุหัวเด็กได้ ผลต้มแล้วเกิดฟอง สุมหัวเด็กแก้หวัด แก้รังแค ใช้ซักผ้าและสระผมได้
          โดยเอาผลประมาณ 5 ผล ทุบพอแตก ต้มกับน้ำประมาณ 1 ถ้วย ทาที่หนังศีรษะ ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย (ระวังอย่าให้เข้าตา จะทำให้แสบตา)

สารสำคัญ คือ
          Quercetin, Quercetin -3 - a - A- arabofuranoside, ß - Sitosterol, Emarginatoside, O - Methyl-Saponin, Sapindus - Saponin

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_6.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ประทัดใหญ่ ประทัดจีน

ประทัดใหญ่ ประทัดจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Quassia amara  L.
ชื่อสามัญ :   Stave-wood, Sironum wood
วงศ์ :   Simaroubaceae
ชื่ออื่น :  ปิง ประทัด  (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1.5-3 เมตร แตกกิ่งก้านมากเป็นพุ่มเตี้ย เปลือกต้นเรียบ  สีน้ำตาล ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยมี 5 ใบ รูปรีหรือรูปไข่กลับ  กว้าง 2-3 ซม. ยาว 3-5 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบรวมสีแดงมีครีบแผ่ออกทั้งสองข้าง ใบอ่อนสีแดง ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกสีแดงสด กลีบดอกไม่บานจะหุ้มเกสรอยู่เป็นรูปกรวยคว่ำ ก้านช่อดอกสีแดง ผล เป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปไข่กลับ สีแดงคล้ำ
ส่วนที่ใช้ : ราก  ใบ  เนื้อไม้  เปลือก

สรรพคุณ :
    ราก -  มีรสขมจัด ใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ได้ดี
    ใบ - ทาผิวหนัง แก้คัน
    เปลือกและเนื้อไม้ - เป็นยาบำรุงน้ำย่อย ทำให้เกิดอยากรับประทานอาหาร
    เนื้อไม้ - นำมาสกัดเป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายสำหรับเด็ก

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    ใช้เป็นยาแก้ไข้มาเลเรีย
    ต้มเนื้อไม้ประทัดจีน (ประทัดใหญ่) 4 กรัม ด้วยน้ำ 4 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า-เย็น
    ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร และเป็นยาขับพยาธิเส้นด้าย
    ใช้เนื้อไม้ 0.5 กรัม ประมาณ 4-5 ชิ้น ชงน้ำเดือด 1/2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งเดียว

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_5.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

บอระเพ็ด

 บอระเพ็ด
 ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tinospora crispa  (L.) Miers ex Hook.f.& Thomson
วงศ์ :   Menispermaceae
ชื่ออื่น :  ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน (สระบุรี) หางหนู (สระบุรี,อุบลราชธานี) จุ่งจิง เครือเขาฮอ (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม (หนองคาย)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง
ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล ส่วนทั้ง 5  เถาสด

สรรพคุณ :
    ราก
    - แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น
    - ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
    - เจริญอาหาร
    ต้น
    - แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ
    - บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ
    - แก้อาการแทรกซ้อน ขณะที่เป็นไข้ทรพิษ
    - แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้เลือดพิการ
    - แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สะอึก แก้พิษฝีดาษ
    - เป็นยาขมเจริญอาหาร
    - เป็นยาอายุวัฒนะ
    ใบ
    - แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้จับสั่น
    - ขับพยาธิ แก้ปวดฝี
    - บำรุงธาตุ
    - ยาลดความร้อน
    - ทำให้ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสดชื่น
    - รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
    - ช่วยให้เสียงไพเราะ
    - แก้โลหิตคั่งในสมอง
    - เป็นยาอายุวัฒนะ
    ดอก
    - ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู
    ผล
    - แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ
    - แก้สะอึก และสมุฎฐานกำเริบ
    ส่วนทั้ง 5
    บำบัดรักษาโรค ดังนี้
    - เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อย แก้ไข้ปวดศีรษะ รักษาฟัน รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ฝีมดลูก ฝีมุตกิต แก้ร้อนใน รักษาโรคเบาหวาน ลดความร้อน แก้ดีพิการ แก้เสมหะ เลือดลม แก้ไข้จับสั่น

วิธีการและปริมาณที่ใช้ :
          ใช้เป็นยารักษาอาการดังนี้
    อาการไข้ ลดความร้อน
    - ใช้เถาแก่สด  หรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
    - หรือใช้เถาสด ดองเหล้า ความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ของยาที่เตรียมแล้ว
    เป็นยาขมช่วยเจริญอาหาร เมื่อมีอาการเบื่ออาหาร
    โดยใช้ขนาดและวิธีการเช่นเดียวกับใช้แก้ไข้

สารเคมี : ประกอบด้วยแคลคาลอยด์หลายชนิด  เช่น Picroretine, berberine นอกจากนี้ยังประกอบด้วย  colonbin, tintotuberide, N - trans - feruloyltyramine, N - cisferuloytyramine, phytosterol, methylpentose

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_4.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ว่านธรณีสาร

ว่านธรณีสาร
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Phyllanthus pulcher  Wall. ex Müll.Arg.
วงศ์ :   Euphorbiaceae
ชื่ออื่น :  เสนียด (กรุงเทพฯ) กระทืบยอบ (ชุมพร) ตรึงบาดาล (ประจวบคีรีขันธ์) ก้างปลาดิน ดอกใต้ใบ (นครศรีธรรมราช) คดทราย (สงขลา) ก้างปลาแดง ครีบยอด (สุราษฎร์ธานี) รุรี (สตูล) ก้างปลา (นราธิวาส)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มสูง 1-1.5 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล มีรอยแผลใบชัดเจน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 0.8-1.3 ซม. ยาว 1.5-2.5 ซม. โคนใบเบี้ยว ปลายใบมน ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบเรียบ สีเขียว ดอก ดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้ออกเป็นกระจุกตามซอกใบ กลีบดอกมี 4 กลีบ ดอกเพศเมียออกตามซอกใบในส่วนของก้านใบ ดอกห้อยลง กลีบดอกมี 6 กลีบ โคนติดกัน สีม่วงแดง ปลายแหลม ปลายเป็นสีเขียว ขอบจักเป็นฝอย ผล รูปทรงกลม สีน้ำตาลอ่อน

ส่วนที่ใช้ : ใบแห้ง

สรรพคุณ :
    ใบแห้ง
    -  ป่นเป็นผง ผสมกับพิมเสนดีพอควร
    -  ใช้กวาดคอเด็ก แก้เด็กตัวร้อน แก้พิษตานทรางของเด็กได้ดี และขับลมในลำไส้

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_3.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ท้าวยายม่อม ( หัว )

ท้าวยายม่อม ( หัว )
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tacca leontopetaloides  (L.) Kuntze
วงศ์ :   Taccaceae
ชื่ออื่น :  ไม้เท้าฤๅษี (ภาคกลาง) สิงโตดำ (กรุงเทพฯ) บุกรอ (ตราด)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวเป็นแป้ง กลมหรือรี ใบรูปฝ่ามือ มี 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นใบประกอบหลายแฉกย่อย ใบรูปฝ่ามือกว้างได้ 120 ซม. ยาว ได้ 70 ซม. ก้านใบยาว 20-170 ซม. รวมกาบใบ ช่อดอกมี 1-2 ช่อ ยาวได้ถึง 170 ซม. แต่ละช่อมี 20-40 ดอก แผ่นกลีบประดับมี 4-12 อัน เรียง 2 วง กลีบขนาดเกือบเท่าๆ กับ รูปไข่ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก สีเขียวเข้ม ยาว 2.5-10 ซม. กลีบประดับรูปเส้นด้ายมี 20-40 อัน สีเขียวขาวอมม่วง ยาว 10-25 ซม. ดอกสีเขียวอมเหลือง กลีบรวม 6 กลีบ เรียง 2 วง วงนอกรูปรีหรือรูปใบหอก ยาว 0.4-0.7 ซม. วงในรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 0.5-0.8 ซม. เกสรเพศผู้ 6 อัน ปลายแผ่เป็นแผ่น ก้านเกสรเพศเมียสั้น ปลายเกสรแยกเป็น 3 แฉก ผลมีเนื้อหลายเมล็ด เกือบกลมหรือทรงรี ห้อยลง เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1.5-2.5 ซม. เมล็ดจำนวนมาก

ส่วนที่ใช้ :  หัว

สรรพคุณ :
          หัวที่ใช้ทำเป็นแป้งได้ เรียกว่า William's arrow root แป้งเท้ายายม่อมเป็นอาหารอย่างดีสำหรับคนไข้ที่เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ให้คนไข้รับประทานดี เกิดกำลังและชุ่มชื่นหัวใจ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ใช่แป้งละลายน้ำดิบ ใส่น้ำตาลกรวด ตั้งไฟกวนจนสุก ให้คนไข้รับประทาน

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_2.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ท้าวยายม่อม ( ต้น )

ท้าวยายม่อม ( ต้น )
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Clerodendrum petasites  (Lour.) S.Moore
วงศ์ :   Labiatae
ชื่ออื่น :  กาซะลอง จรดพระธรณี ดอกคาน (ยะลา) ท้าวยายม่อมป่า (อุยลราชธานี) ปิ้งขม ปิ้งหลวง (ภาคเหนือ) พญารากเดียว (ภาคใต้) พญาเล็งจ้อน เล็งจ้อนใต้ (เชียงใหม่) พมพี (อุดรธานี)  พวกวอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร) พินที (เลย) โพพิ่ง (ราชบุรี) ไม้เท้าฤๅษี (ภาคเหนือ,ภาคใต้) หญ้าลิ้นจ้อน (ประจวบคีรีขันธ์)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้านสาขา ลำต้นโตเท่านิ้วมือ สูงประมาณ 4-5 เมตร มีรากเดี่ยวพุ่งตรงลึก ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว รูปหอกเล็กเรียวยาว 6-7 นิ้ว ปลายและโคนแหลม สีเขียว ออกตามข้อตรงกันข้ามเป็นคู่ๆ สลับทางกันเป็นพุ่มที่กลางต้นถึงปลาย ดอก ช่อเล็กๆ ออกเป็นช่อชั้นๆ ที่ปลายยอดเหมือนฉัตร ดอกคล้ายดอกปีบสีขาว มีจานรองดอก 5 แฉก สีแดง ผล กลมเท่าลูกเถาคัน

ส่วนที่ใช้ :  ราก

สรรพคุณ :
    ราก
    - เป็นยาแก้พิษไข้ พิษกาฬ ลดความร้อนในร่างกาย
    - กระทุ้งพิษไข้หวัด เป็นยาขับพิษไข้ทุกชนิด
    - เป็นยาแก้แพ้  อักเสบ ปวดบวม พิษฝี
    - แมลงสัตว์กัดต่อย
    - แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาเจียน หืดไอ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
     เป็นยาแก้พิษไข้ พิษกาฬ ลดความร้อนในร่างกาย กระทุ้งพิษไข้หวัด
    นำราก 1 ราก มาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำฝน หรือเหล้าโรง คั้นเอาน้ำรับประทาน

    แก้อาการแพ้ อักเสบ ปวดบวม
    นำกากมาพอกที่ปากแผล ถอนพิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_1.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

แคดอกขาว แคดอกแดง

แคดอกขาว แคดอกแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Sesbania grandiflora  (L.) Desv.
ชื่อสามัญ :   Agasta, Sesban, Vegetable humming bird
วงศ์ :   Leguminosae - Papilionoideae
ชื่ออื่น :  แค แคบ้านดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-6 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา ขรุขระ แตกเป็นสะเก็ด ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีขอบขนาน กว้าง 1-1.5 ซม.  ยาว 3-4 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ  สีเขียว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ 2-4 ดอก ดอกสีขาวหรือแดง มีกลิ่นหอม ก้านเกสรเพศผู้สีขาว 60 อัน ผล เป็นฝัก ยาว 8-15 ซม. ฝักแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดกลมแป้น สีน้ำตาล มีหลายเมล็ด
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น  ดอก  ใบสด  ยอดอ่อน

สรรพคุณ :
    เปลือก
    - ต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว
    - แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ
    - ภายนอก ใช้ชะล้างบาดแผล
    ดอก,ใบ
     - รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู (แก้ไข้หัวลม)
    ชาวอินเดีย ใช้สูดน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรค ริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้
    ใบสด
    - รับประทานใบแคทำให้ระบาย
    - ใบแค ตำละเอียด พอกแก้ช้ำชอก

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    แก้มูกเลือด บิดมีตัว แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ
    ใช้เปลือกต้นปิ้งไฟ 1 ส่วน ต้มกับน้ำหรือน้ำปูนใส 10 ส่วน รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง

    แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้หัวลม (หรือไข้อากาศเปลี่ยน)
    - ใบสด ต้มกับน้ำรับประทานลดไข้ ใช้ยอดอ่อนจำนวนไม่จำกัด ลวกจิ้มกับน้ำพริก รับประทานแก้ปวดศีรษะข้างเดียว
    - ใช้ดอกที่โตเต็มที่ล้างน้ำ ต้มกับหมูทำบะช่อ 1 ชาม รับประทาน 1 มื้อ รับประทานติดต่อกัน 3-7 วัน จะได้ผล

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

หนุมานประสานกาย

หนุมานประสานกาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Schefflera leucantha  R. Vig.
วงศ์ :   Araliaceae
ชื่ออื่น :  -

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1-4 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำใกล้พื้นดิน เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบ เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 6-8 ใบ รูปรี กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 5-8 ซม. โคนใบแหลม ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเล็กสีขาวนวล ผล เป็นผลมีเนื้อ รูปทรงกลม ขนาดเล็ก

ส่วนที่ใช้ :  ใบสด

สรรพคุณ :
    - รักษาโรคหืด โรคแพ้อากาศ ขับเสมหะ
    - รักษาโรคหลอดลมอักเสบ
    - รักษาวัณโรคปอด แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด
    -ตำพอกแผลห้ามเลือด ห้ามเลือด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    รักษาโรคหืด แพ้อากาศ ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบ
    ใช้ใบสดเล็กๆ 9 ใบ ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า-เย็น เป็นเวลา 49 วัน หืดควรจะหาย
    ยาแก้อาเจียนเป็นเลือด
    ใช้ใบสด 12 ใบย่อย ตำคั้นน้ำ 2 ถ้วยตะไล รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยตะไล ติดต่อกัน 5-7 วัน
    ใช้รักษาวัณโรค
    ใช้เหมือนวิธีที่ 1 ติดต่อกัน 60 วัน แล้ว x-ray ดู ปอดจะหาย แล้วให้รับประทานต่อมาอีกระยะหนึ่ง

สารเคมี :
         พบ Oleic acid, butulinic acid, D - glucose, D - Xylose, L - rhamnose

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_12.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ลำโพงดอกขาว

ลำโพงดอกขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Datura  metel  L.
ชื่อสามัญ :   Apple of Peru, Green Thorn Apple, Hindu Datura, Metel, Thorn Apple
วงศ์ :   Solanaceae
ชื่ออื่น :  มะเขือบ้า, มั่งโต๊ะโล๊ะ, ละอังกะ, เลี๊ยก

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 8-15 ซม. ยาว 10-20 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจักเป็นซี่ห่างกัน แผ่นใบสีเขียว  ดอก ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ ดอกสีขาวนวล กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอดยาวคึ่งหนึ่งของความยาวดอก กลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายบานเป็นรูปแตร ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเขียว ผิวเป็นตุ่มหนาม ผลแห้งแตกได้ เมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ : ใบแห้ง ดอกแห้ง ยอดอ่อน ช่อดอก

สรรพคุณ :
          ยารักษาโรคหืด คลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ (antispasmodic) anticholinergic activity

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    ใบแห้ง  1-3 ใบ มวนบุหรี่สูบ
    ดอกแห้ง 1 ดอก มวนบุหรี่สูบ
    ใบขนาดที่ใช้ 100-250 มิลลิกรัม liquid extract (0.25% alkaloids) ขนาดที่ใช้ 0.06-0.2 มล. ทิงเจอร์ (มีแอลกอฮอล์ 0.25%)  ขนาดที่ใช้ 0.3-2 มล.

สารเคมี:  - มี hyoscine 0.25-0.55 %  และ hyoscyamine

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_11.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะอึก

มะอึก
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Solanum stramonifolium  Jacq.
วงศ์ :   Solanaceae
ชื่ออื่น :  มะเขือปู่ มะปู่ (ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ทุกส่วนมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่กว้าง กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. โคนใบเว้าหรือตัด ขอบใบหยักเว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขียว มีขนทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแหลม เกสรเพศผู้สีเหลือง เป็นเส้นรวมเป็นยอดแหลม ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.8-2 ซม. ผิวมีขนยาวหนาแน่น ผลสุกสีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดแบน มีจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ :  ผล  ใบ  ราก  เมล็ด

สรรพคุณ :
    ผล  -  เป็นอาหาร กัดฟอกเสมหะ แก้ไอ
    ใบ - เป็นยาพอก แก้คัน
    ราก - แก้ปวด แก้ไข้ พอกแก้คัน
    เมล็ด - แก้ปวดฟัน (โดยเผาสูดดมควันเข้าไป)

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_10.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะนาว

มะนาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Citrus aurantifolia (Christm.)  Swingle
ชื่อสามัญ :   Common lime
วงศ์ :   Rutaceae
ชื่ออื่น :  ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับ มีใบย่อยใบเดียว รูปไข่หรือรูปรียาว กว้าง 3-5 ซม. ยาว4-8 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนมีปีกแคบๆ ขอบใบหยัก แผ่นใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ตามผิวใบ ดอก ออกเป็นช่อสั้น 5-7 ดอก หรือออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 4-5 กลีบ หลุดร่วงง่าย ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม พอแก่เป็นสีเหลือง ข้างในแบ่งเป็นห้องแบบรัศมี มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มี 10-15 เมล็ด

ส่วนที่ใช้ :  น้ำมะนาว (น้ำคั้นจากผล)  ราก  ใบ  ดอก  ผล  เมล็ด

สรรพคุณ :
    น้ำมะนาว  - แก้โรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน) ทำอาหาร ขับเสมหะ ฟอกโลหิต ทำให้ผิวนุ่มนวล แก้ซาง บำรุงเสียง บำรุงโลหิต ขับระดู แก้เล็บขบ แก้ขาลาย จิบแก้ไอ ดับกลิ่นเหล้า ฆ่าพยาธิในท้อง รักษาผม ขับลม รักษาลมพิษ แก้ริดสีดวง แก้ระดูขาว แก้พิษยางน่อง แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
    ราก - กระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษสำแดง แก้สติหลงลืม แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ ถอนพิษไข้ กลับไข้ซ้ำ
    ใบ - ฟอกโลหิต แก้ตับทรุด
    ดอก - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ ) แก้ไอ ขับเสมหะ
    ผล - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง ทาแก้ผิวแห้งตกสะเก็ด แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก แก้ไอ รักษาแผลจากแมลงมีพิษ
   เมล็ด - แก้พิษตานซาง แก้หายใจขัด แก้ไข้ขับเสมหะ แก้พิษฝีภายใน

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    ยาแก้ไอขับเสมหะ
    น้ำในผลที่โตเต็มที่ น้ำมะนาว 2-3 ช้อนแกง, เมล็ดมะนาว 10-20 เมล็ด  นำน้ำมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย จิบ จะช่วยทำให้เสมหะถูกขับออก และเสียงดี ถ้าเป็นเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ
    ยาป้องกันหรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด)
    ใช้น้ำจากผลที่แก่จัดไม่จำกัด เติมเกลือ น้ำตาล น้ำแข็ง ใช้เป็นเครื่องดื่ม หรือจะใส่ในอาหาร ก็ได้ผลเช่นกัน
    ยาห้ามเลือด ใส่แผลสด
    ใช้น้ำจากผล ครึ่งช้อนชา หรือ 1/4 ช้อนแกง แผลถูกมีดบาด เลือดไม่หยุด บีบน้ำมะนาวลงไป 3-4 หยด เลือดจะหยุด

สารเคมี :
          ใบ  มี Alcohols, Aldehydes, Elements, Terpenoids, Citral
          ผล  มี  1 - Alanine, γ - Amino butyric acid, 1 - Glutamic acid
          เมล็ด มี  Glyceride Oil
          น้ำมันหอมระเหย   มี  P - Dimethyl - a - Styrene, Terpinolene

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_9.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะขามป้อม

มะขามป้อม
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Phyllanthus emblica  L.
ชื่อสามัญ :  Emblic myrablan, Malacca tree
วงศ์ :   Euphorbiaceae
ชื่ออื่น :   กำทวด (ราชบุรี) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) สันยาส่า มั่งลู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 10-12 เมตร เปลือกต้นสีเทาอมน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านแข็ง เหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน รูปขอบขนาน กว้าง 1- 5 มม. ยาว 4-15 มม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือเว้าเข้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอก ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกเล็กๆ ดอกสีเหลืองอ่อนออกเขียว กลีบดอกมี 5-6 กลีบ มีเกสรเพศผู้สั้นๆ 3-5 อัน ก้านดอกสั้น ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.3-2 ซม. เป็นพูตื่นๆ 6 พู ผิวเรียบ  ผลอ่อนสีเขียวอมเหลือง พอแก่เป็นสีเหลืองออกน้ำตาล เมล็ดรูปรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง

ส่วนที่ใช้ : น้ำจากผล ผลโตเต็มที่

สรรพคุณ :
    น้ำจากผล  -  แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
    ผล - แก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
          ผลโตเต็มที่ จำนวนไม่จำกัด รับประทานเป็นผลไม้

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_8.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะดัน

มะดัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Garcinia schomburgkiana  Pierre.
วงศ์ :  Clusiaceae (Guttiferae)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 7-10 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลอมดำ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 2.5 ซม. ยาว 9 ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบลื่น สีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 0.5-1 ศทซ ดอก ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 3-6 ดอก ตามซอกใบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกเพศผู้ ดอกสีเหลืองอมส้ม กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ค่อนข้างกลม กลีบดอกมี 4 กลีบ รูปรีแกมรูปไข่ ปลายกลีบดอกมน ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 10-12 อัน ผล รูปรีปลายแหลม ผิวเรียบสีเขียว เป็นมันลื่น มีรสเปรี้ยว เมล็ดมี 3-4 เมล็ด ติดกัน

ส่วนที่ใช้ :  ใบ  ราก  ผล

สรรพคุณ :
    ใบและราก
    - เป็นยาดอกเปรี้ยวเค็ม และปรุงเป็นยาต้ม รับประทานแก้กระษัย แก้ระดูเสีย ขับฟอกโลหิต
    - เป็นยาระบายอ่อนๆ
    - เป็นยาสกัดเสมหะในลำคอดี
    ผล
    - เป็นยาสกัดเสมหะในลำคอดี
    - เป็นอาหาร

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_7.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะกรูด

มะกรูด
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Citrus hystrix  DC.
ชื่อสามัญ :   Leech lime, Mauritus papeda
วงศ์ :   Rutaceae
ชื่ออื่น :  มะขุน มะขูด (ภาคเหนือ) มะขู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)  ส้มกรูด ส้มมั่วผี (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-8 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบ เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม มีต่อมน้ำมันอยู่ตามผิวใบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ก้านใบมีปีกดูคล้ายใบ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 แฉก โคนกลีบดอกติดกัน ผล เป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ โคนผลเรียวเป็นจุก ผิวขรุขระ มีต่อมน้ำมัน ผลอ่อนสีเขียวแก่ สุกเป็นสีเหลือง มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มีหลายเมล็ด

ส่วนที่ใช้ :  ราก ใบ ผล ผิวจากผล

สรรพคุณ :
    ราก -  กระทุ้งพิษ แก้ฝีภายในและแก้เสมหะเป็นพิษ
    ใบ - มีน้ำมันหอมระเหย
    ผล, น้ำคั้นจากผล - ใช้แต่งกลิ่น สระผมรักษาชันนะตุ รังแค ทำให้ผมสะอาด
    ผิวจากผล - ปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น, เป็นยาบำรุงหัวใจ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ
    ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือ พิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ ดื่มแต่น้ำรับประทาน 1 ถึง 2 ครั้ง แต่ถ้ายังไม่ค่อยทุเลา จะรับประทานติดต่อกัน 2-3 สะรก็ได้
    ใช้สระผมทำให้ผมสะอาดชุ่มชื้น เป็นเงางาม ดกดำ ผมลื่นด้วย
    โดยผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เอามะกรูดสระซ้ำ ใช้มะกรูดยีไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรด จะทำให้ผมสะอาด แล้วล้างผมให้สมุนไพรออกไปให้หมด หรือใช้มะกรูดเผาไฟ นำมาผ่าซีกใช้สระผม จะรักษาชันนะตุ ทำให้ผมสะอาดเป็นมัน

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_6.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะแว้งต้น

มะแว้งต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Solanum indicum  L.
วงศ์ :   Solanaceae
ชื่ออื่น :  มะแคว้ง มะแคว้งขม มะแคว้งคม มะแคว้งดำ (ภาคเหนือ) แว้งคม (สงขลา, สุราษฎร์ธานี)  สะกั้งแค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)  หมากแฮ้งคง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1-1.5 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาล ยอดอ่อนและต้นอ่อนมีขนสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่หรือขอบขนาน กว้าง 4-10 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบหยักเว้า แผ่นใบสีเขียว มีขนนุ่ม ก้านใบยาว ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่งหรือซอกใบ ดอกย่อยมี 5-10 ดอก ดอกสีม่วง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉกแหลม ด้านนอกมีขน กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม เกสรเพศผู้สีเหลือง ติดกันเป็นรูปกรวย ผล รูปทรงกลม ขนาด 1 ซม. ผิวเรียบ ผลดิบสีเขียวไม่มีลาย ผลสุกสีส้ม เมล็ดแบนจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ :  ราก ทั้งต้น ใบ ผล

สรรพคุณ :
    ราก -  แก้เสมหะ น้ำลายเหนียว แก้ไอ แก้ไข้สันนิบาต แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา
    ทั้งต้น - แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา
    ใบ - บำรุงธาตุ แก้วัณโรค แก้ไอ
    ผล - บำรุงน้ำดี รักษาโรคเบาหวาน แก้ไอ แก้เสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก้คอแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางไต และกระเพาะปัสสาวะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
    - ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้ไอ และแก้โรคหอบหืด
    - ใช้มะแว้งต้น ผลแก่
    ในเด็ก ใช้ 2-3 ผล ใช้เป็นน้ำกระสายยา กวาดแก้ไอ ขับเสมหะ
    ผู้ใหญ่ ใช้ 10-20 ผล รับประทาน เคี้ยว แล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ รับประทานบ่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    - ใช้ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน
    ใช้มะแว้งต้นโตเต็มที่ 10-20 ผล รับประทานเป็นอาหารกับน้ำพริก

สารเคมี :
          สาร Solasodine จะพบได้ในส่วน ผล ใบ และต้น นอกจากนี้ในใบและผลยังพบ Solanine , Solanidine  Beta-sitosterol และ Diogenin

คุณค่าทางด้านอาหาร :
          ลูกมะแว้งต้น ใช้เป็นผักได้ แต่นิยมน้อยกว่ามะแว้งเครือ ลูกมะแว้งต้นมีวิตามินเอ ค่อนข้างสูง
      
อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_5.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

มะแว้งเครือ

มะแว้งเครือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Solanum trilobatum  L.
วงศ์ :   Solanaceae
ชื่ออื่น :  มะแว้งเถา (กรุงเทพฯ ) แขว้งเควีย (ตาก)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น ลำต้นกลม สีเขียวเป็นมัน มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ สีเขียวเป็นมัน แผ่นใบล่างมีหนามตามเส้นใบ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง  ดอกสีม่วง กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 แฉก ย่น ปลายแหลม โคนเชื่อมติดกัน เกสรเพศผู้สีเหลืองมี 5 อัน ผล รูปทรงกลม ขนาด 0.5 ซม. ผิวเรียบ ผลดิบสีเขียวมีลายขาว ผลสุกสีแดงใส เมล็ดแบน มีจำนวนมาก

ส่วนที่ใช้ :  ราก ทั้งต้น ต้น ใบ ผลสดแก่โตเต็มที่ แต่ยังไม่สุก

สรรพคุณ :
    ราก -  แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ทวารเบา แก้ไอ แก้ขับเสมหะให้ตก แก้หืด ขับปัสสาวะ แก้ไข้สันนิบาต บำรุงธาตุ แก้น้ำลายเหนียว กระหายน้ำ แก้วัณโรค
    ทั้งต้น - ขับเหงื่อ แก้ไอ แก้หืด ขับปัสสาวะ
    ต้น - แก้หญิงท้องขึ้นในขณะมีครรภ์ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว กระทุ้งพิษไข้ ขับปัสสาวะ
    ใบ - บำรุงธาตุ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว
    ผลสด - แก้ไอ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน บำรุงดี แก้น้ำลายเหนียว บำรุงเลือด แก้โลหิตออกทางทวารหนักทวารเบา

 วิธีและปริมาณที่ใช้:
          แก้ไอ  แก้โรคหืดหอบ ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร
    เอาผลมะแว้งเครือสดๆ 5-6 ผล นำมาเคี้ยวกลืน เฉพาะน้ำจนหมดรสขม แล้วคายกากทิ้งเสีย บำบัดอาการไอได้ผลชงัด
    ใช้ผลสดๆ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาน้ำ ใส่เกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ
            รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด
    ใช้ผลมะแว้ง โตเต็มที่ 10-20 ผล รับประทานเป็นอาหาร เป็นผักจิ้มน้ำพริก

สารเคมี :
          ใบ  มี  Tomatid - 5 - en -3-  ß - ol
          ดอก  มี Alkaloids, Cellulose, Pectins Unidentified organic acid Lignins, Unidentified saponins
          ผล  มี Enzyme oxidase, Vitamin A ค่อนข้างสูง

อ้างอิง จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_4.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็น ที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ

ปีบ

ปีบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Millingtonia hortensis   L.f.
ชื่อสามัญ :    Cork Tree , Indian Cork
วงศ์ :   BIGNONIACEAE
ชื่ออื่น :  กาซะลอง กาดสะลอง (ภาคเหนือ) เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร ลำต้นตรง เปลือกมีสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก มีช่องอากาศ รากเกิดเป็นหน่อ เจริญเป็นต้นใหม่ได้ ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น กว้าง 13-20 ซม. ยาว 16-26 ซม. ก้านใบยาว 3.5-6 ซม. ตัวใบประกอบด้วยแกนกกกลางยาว 13-19 ซม. มีใบย่อย 4-6 คู่ ใบย่อย 4-6 คู่ กว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 4-5 ซม. มีรูปร่างเป็นรูปหอกแกมรูปไข่ ฐานใบรูปลิ่ม ขอบหยักเป็นซี่หยาบ ปลายเรียวแหลม เนื้อใบบางคล้ายกระดาษ เกลี้ยง ดอกเป็นดอกช่อกระขุกแยกแขนง ยาว 10-25 ซม. ดอกย่อยประกอบด้วย กลีบเลี้ยง มีสีเขียว กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาวประมาณ 0.5 ซม. เชื่อมกันเป็นรูประฆังปลายตัด กลีบดอกมีสีขาว กลิ่นหอม กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาว 6-10 ซม. เชื่อมกันเป็นหลอดปากแตร แยกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกล่างค่อนข้างแหลม เกสรเพศผู้มีจำนวน 4 อัน สองคู่ยาวไม่เท่ากัน เกสรเพศเมียมีจำนวน 1 อัน อยู่เหนือวงเกลีบ ออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน - พฤษภาคม ผล เป็นผลแห้งแตก ลักษณะแบนยาวขอบขนาน มีเนื้อ เมล็ดมีจำนวนมา เป็นแผ่นบางมีปีก

ส่วนที่ใช้ :  ราก ดอก ใบ

สรรพคุณ :
          เป็นพืชที่นำมาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิด ในตำรายาไทย เช่น
    ราก - บำรุงปอด รักษาวัณโรค อาการหอบหืด
    ดอก - ใช้รักษาอาการหอบหืด ไซนัสอักเสบ เพิ่มการหลั่งน้ำดี (cholagogue) เพิ่มรสชาติ นำดอกปีบแห้ง ผสมยาสูบมามวนเป็นบุหรี่ สำหรับสูบสูด เพื่อรักษาอาการหอบหืด
    ใบ - ใช้มวนบุหรี่สูบแทนฝิ่น ขยายหลอดลม ใช้รักษาอาการหอบหืดได้เช่นกัน

วิธีและปริมาณที่ใช้:
           แก้หอบหืด  ใช้ดอกแห้ง 6-7 ดอก มวนเป็นบุหรี่สูบ
          นักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการสกัดส่วนต่าง ๆ ของปีบ เพื่อหาส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์ในการรักษา ตรวจพบสาร Scutellarein และ Scutellarein-5-galactoside จากดอกปีบ ต่อมาตรวจพบว่าในใบ มีสาร hispidulin
           ในผล พบ acetyl oleanolic acid
           ในดอก มีสาร Scutellarein, hispidulin และ Scutellarein-5-galactoside
           ในราก พบสาร hentriacontane, lapachol, hentria contanol-1, B-stosterol และ paulownin
          ในส่วนของแก่นไม้และเปลือกของต้น พบสาร B-stosterol นำมาสก้ดออกจากดอกปีบแห้งโดยนำสารสกัดด้วย methanol มาแยกลำดับส่วนด้วย ปีโตรเลียมอีเธอร์ คลอโรฟอร์ม บิวธานอล และน้ำ นำส่วนต่าง ๆ เหล่านี้มาทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าส่วนสกัดจากคลอโรฟอร์ม จะมีฤทธิ์ขยายหลอดลมในขณะที่ส่วนสกัด Butanol และน้ำ จะมีฤทธิ์ทำให้หลอดลมหดตัว และพบว่าส่วนสกัดแยกส่วนด้วย Butanol จากสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ขยายหลอดลม จากการศึกษานี้ จึงเชื้อว่า hispidulin มีบทบาทสำคัญในการขยายหลอดลม ซึ่งขณะนี้กำลังมีผู้วิจัยศึกษาถึงฤทธิ์ ขยายหลอดลมในร่างกายของสัตว์ทดลอง
          สำหรับการศึกษาในด้านความปลอดภัย ของการใช้ดอกปีบในการรักษา ได้ศึกษาพิษเฉียบพลัน (acute) และกึ่งเฉียบพลัน (Subacute toxicity) อย่างไรก็ตาม การที่จะอธิบายได้ว่าผลที่เกิดขึ้นนี้ จากสารสกัดตัวใดนั้น ยังให้คำตอบไม่ได้ ต้องศึกษาสาระสำคัญแยกกันไป แม้ว่า hispidulin จะเป็นสาระสำคัญตัวหนึ่งที่แยกได้จากส่วนของคลอโรฟอร์ม พบว่าสาร hispidulin ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนสกัดจากคลอโรฟอร์มนั้น จะปรากฏอยู่ประมาณ 0.364% W/W ดังนั้นจึงควรทำการศึกษาพิษของ hispidulin ที่แยกให้บริสุทธิ์ แล้วจึงจะให้คำตอบที่ชัดเจนและถูกต้อง
          การศึกษาฤทธิ์อื่น ๆ ของสาร hispidulin และสารอื่น ๆ ที่แยกได้จากปีบ ควรที่ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมตลอดจนกลไกที่เกี่ยวข้องกับการออกฤทธิ์นั้นเพื่อประเมินศักยภาพของปีบ ในการนำมาใช้ในการรักษาหอบหืดในอนาคต

อ้างอิงจากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_08_2.htm เพื่อเป็นความรู้กับผู้ที่สนใจด้านสุขภาพและการใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี  และสำหรับผู้ที่สนใจอยากทานยาสมุนไพรที่มีสูตรยาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเป็นที่ยอมรับถูกหลักมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย สามารถเลือกชมผลิตภัณฑ์ได้ที่ http://www.morsengproducts.com ได้เลยค่ะ